บทที่7
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
(Data And Data Management)
⇴ ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ
เช่น คน สถานที่ สิ่งของ ซึ่งเกิดจากการสังเกต การจดบันทึก การสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และมีการเก็บรวบรวมไว้ สามารถเรียกข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในภายหลัง
⇴ ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่องตัวอย่างของข้อมูล เช่น
คะแนนสอบ ชื่อนักเรียน เพศ อายุเป็นต้น
⇴ สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว อาจใช้วิธีง่ายๆ เช่น หาค่าเฉลี่ยหรือใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การวิจัยดำเนินงาน เป็นต้น
⇴ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลทั่วไปให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์หรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหรือตอบปัญหาต่างๆได้
การจัดการข้อมูล
แหล่งข้อมูล
สถานที่หรือแหล่งที่เกิดข้อมูลสามารถแบ่งประเภทตามแหล่งที่มาได้ 2 ประเภทคือ
⇰ แหล่งข้อมูลภายใน
⇰ แหล่งข้อมูลภายนอก
แหล่งข้อมูลภายใน

⇝ อาจเป็นข้อมูลที่เปิดเผยได้หรือข้อมูลที่เป็นความลับ เช่น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ ข้อมูลการทดลอง
แหล่งข้อมูลภายนอก
⇝ แหล่งกำเนิดที่อยู่ภายนอกองค์กร
⇝ เช่น ข้อมูลลูกค้า เจ้าหนี้ อัตรา
ดอกเบี้ยสถาบันการเงิน กฎหมาย
และอัตราภาษีของรัฐบาล หรือข้อมูลบริษัทคู่แข่ง
⇝ อาจหาได้จากบริษัทผู้ให้บริการข้อมูล
หรือจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
หรือสื่ออื่นๆ
คุณสมบัติของข้อมูล
คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมีดังนี้
⇛ ความถูกต้อง (Accuracy)
- ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
- ต้องคัดเลือกข้อมูลที่ถูกต้อง
- คอมพิวเตอร์ประมวลผลตามข้อมูลที่ได้รับเมื่อป้อนข้อมูลผิดผลลัพธ์ก็ย่อมผิดตามไปด้วย (Garbage In Garbage Out)
⇛ มีความเป็นปัจจุบัน (Update)
- ข้อมูลที่ด่ีต้องมีการปรับปรุงแก้ไขใหม่ความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
- เหตุการณ์ต่างๆมักเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอด เช่น จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสมัยก่อนกับปัจจุบันย่อมไม่เท่ากัน
- ข้อมูลที่ล้าสมัยหากนำไปใช้ประโยชน์อาจให้ผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดได้
⇛ ตรงตามความต้องการ (Relevance)
- ข้อมูลที่จะนำมาใช้ต้องสอดคล้องตรงกับความต้องการมากที่สุด
- หากไม่สอดคล้องกับความต้องการก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
- อาจได้จากการสำรวจหรือออกแบบสอบถาม
⇛ ความสมบูรณ์ (Complete)
- บางครั้งอาจเก็บรวบรวมข้อมูลมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์
- เช่น การเก็บข้อมูลเชิงสถิติ หรือวัดค่าเฉลี่ย อาจต้องเก็บทั้งข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) และข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data)
- ข้อมูลที่สมบูรณ์อาจต้องคำนึงถึงความครบถ้วนของข้อมูลด้วย เช่น
อายุ เพศ การศึกษา ศาสนาเชื้อชาติ ของบุคลากรในบริษัท
เป็นต้น
⇛ สามารถตรวจสอบได้ (Verifiable)
- ข้อมูลที่ได้จากหลายแหล่งต่างๆ อาจมีทั้งเชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้
- จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งที่มาหรือหลักฐานอ้างอิงก่อน
- ป้องกันข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์และอาจทำให้เสียหายได้
- ข้อมูลที่ได้จากหลายแหล่งต่างๆ อาจมีทั้งเชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้
- จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งที่มาหรือหลักฐานอ้างอิงก่อน
- ป้องกันข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์และอาจทำให้เสียหายได้
การแบ่งลำดับชั้นของการจัดการข้อมูล (Hierarchy of Data)

⧭ บิต (Bit - Binary Digit)
- ลำดับชั้นของหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด
- ข้อมูลที่จะทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ได้ต้องแปลงให้อยู่ในรูปของเลขฐานสอง
- เมื่อแปลงแล้วจะได้ตัวเลขแทนสถานะ เปิด และ ปิด ของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่าบิตคือบิต0 และบิต 1
⧭ ไบต์ (Byte)
- นำบิตมารวมกันหลายๆบิตจะได้หน่วยข้อมูลกลุ่มใหม่ที่เรียกว่าไบต์(byte)
- จำนวนของบิตที่ได้ในแต่ละกลุ่มอาจมีมากบ้างหรือน้อยตามแต่ชนิดของรหัสที่ใช้เก็บ
- รหัสแอสกี 1 ตัวอักษรหรือ 1 ไบต์ = 8 บิต
- 10100001 หมายถึง ก - 10100010 หมายถึง ข
⧭ ฟีลด์หรือเขตของข้อมูล (Field)
- ประกอบด้วยกลุ่มของตัวอักษรหรือไบต์ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปมาประกอบกันเป็นหน่วยข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นเพื่อแสดงลักษณะหรือความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
- ยกตัวอย่างเขตข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน เช่น รหัสพนักงาน ชื่อ
นามสกุล เงินเดือนตำแหน่ง
⧭ เรคอร์ด (Record)
- กลุ่มของเขตข้อมูลหรือฟีลด์ที่มีความสัมพันธ์กันและนำมาจัดเก็บรวมกันเป็นหน่วยใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเพียงหน่วยเดียว
- กลุ่มของเขตข้อมูลหรือฟีลด์ที่มีความสัมพันธ์กันและนำมาจัดเก็บรวมกันเป็นหน่วยใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเพียงหน่วยเดียว
- ข้อมูลที่จัดเก็บอาจมีหลายเรคอร์ดได้
- เช่น รายการข้อมูลของพนักงานแต่ละคน รายการของสินค้าแต่ละชิ้น รายการของนักศึกษาแต่ละคน เป็นต้น
⧭ ไฟล์หรือแฟ้มตารางข้อมูล (File)
- เป็นการนำเอาข้อมูลทั้งหมดหลายๆเรคอร์ดที่ต้องการจัดเก็บมาเรียงอยู่ในรูปแบบของแฟ้มตารางข้อมูลเดียวกัน
- เช่น แฟ้มตารางข้อมูลเกี่ยวกับคะแนนนักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์
- เรคอร์ดของนักศึกษาหลายๆคนที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับรหัสนักศึกษา ชื่อ นามสกุล และคะแนนที่ได้ เป็นต้น
- เรคอร์ดของนักศึกษาหลายๆคนที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับรหัสนักศึกษา ชื่อ นามสกุล และคะแนนที่ได้ เป็นต้น
แฟ้มตารางข้อมูลคะแนนนักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์

⧭ ฐานข้อมูล (Database)
- การรวมเอาแฟ้มตารางข้อมูลหลายๆแฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันมาเก็บรวมไว้ที่เดียว
- มีการเก็บคำอธิบายโครงสร้างฐานข้อมูลหรือเรียกว่า พจนานุกรม
ข้อมูล (datadictionary)ไว้ เพื่อช่วยในการประมวลผล
โครงสร้างของฐานข้อมูล

⧪ ตัวอย่างฐานข้อมูล
- ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์
จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับประชากรในประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเกิด การตาย การย้าย
หรือเปลี่ยนแปลงที่อยู่ รวมทั้งข้อมูลคู่อื่นๆเช่น ข้อมูลคู่สมรส บุตร
เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยงานกลางเช่น
กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้เรียกใช้ได้โดยง่าย เช่น
นำมาใช้ในการเก็บภาษี การลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกผู้แทน การทำ Pass port
- ฐานข้อมูลทะเบียนนักศึกษา
จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัตินักศึกษา ผลการเรียน ความประพฤติ รวมถึงข้อมูลทางบ้านของนักศึกษา ซึ่งสามารถตรวจสอบ ติดตาม หรือเรียกใช้ข้อมูลต่างๆได้ เช่น นักศึกษาสามารถเรียกดูรายวิชา เพื่อลงทะเบียนนักศึกษาหรืออาจารย์เรียกดูผลการเรียนในภาคการศึกษปัจจุบันหรือก่อนหน้านั้น สำนักพัฒนานักศึกษาสามารถติดตามประวัติ
ความประพฤติ กิจกรรมต่างๆได้
- ฐานข้อมูลบุคลากร
จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพนักงานทั้งหมดในองค์กร เช่นประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงานประวัติการศึกษา
คู่สมรส บุตร สุขภาพความเจ็บป่วย เป็นต้น แผนกทรัพยากร
บุคคลสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการวางแผนและพัฒนาบุคคลกรให้ตรงตามเป้าหมายที่องค์กรณ์ต้องการได้ หรือพิจารณา เงินเดือน การปรับเลื่อนตำแหน่ง หรือจัดสวัสดิการต่างๆ
การจัดโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล
(File Organization)
⧫ โครงสร้างของแฟ้มข้อมูล
- เป็นวิธีการกำหนดโครงสร้างเพื่อจัดเก็บข้อมูลไวในแฟ้มบนสื่อบันทึกข้อมูลสำรอง
- เพื่อให้การจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูล
มีความรวดเร็ว ถูกต้อง และเหมาะสม
กับความต้องการ
⧫ แฟ้มข้อมูลกับระบบฐานข้อมูล
(File Processing Versus Database Systems)
- การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File Processing)
- ต่างแผนกต่างแยกจัดเก็บ
- ข้อมูลเกิดการซ้ำซ้อน (data redundancy )
- ข้อมูลเกิดการซ้ำซ้อน (data redundancy )
- ระบบฐานข้อมูล (Database
Systems)
- แก้ปัญหาความซ้ำซ้อนกันของข้อมูลจากเหตุผลข้างต้น
- จัดเก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลท่ี่สัมพันธ์กันมาจัดเรียงรวมกันเสียใหม่อย่างเป็นระเบียบ
- สะดวกต่อการค้นหาและเรียกใช้ข้อมูลร่วมกัน
แนวคิดของการใช้ฐานข้อมูล

🔼 ลดความซ้ำซ้อนกันของข้อมูล
(Reduced data redundancy)
- หน่วยงานที่จัดเก็บข้อมูลแยกกันหลายที่อาจมีข้อมูลบางส่วนที่ซ้ำซ้อนกัน (data redundancy)
- เช่น ฝ่ายการเงินกับฝ่ายการขายต่างเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ที่ฝ่ายของตนเอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของลูกค้าต้องตามไปแก้ไขแฟ้มที่เก็บข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
- ฐานข้อมูลช่วยลดความซ้ำซ้อนกันของข้อมูลได้เพราะจะถูกจัดเก็บไว้ในที่เดียวกัน จึงง่ายต่อการแก้ไขด้วย
🔼 ลดความขัดแย้งของข้อมูล
(Reduced data inconsistency)
- ข้อมูลที่เป็นชุดเดียวกันแต่มีค่าต่างกันถือว่าเป็นความขัดแย้งกันของข้อมูล
- ข้อมูลที่เป็นชุดเดียวกันแต่มีค่าต่างกันถือว่าเป็นความขัดแย้งกันของข้อมูล
- เช่นปัญหาเรื่องที่อยู่ลูกค้าหากแก้ไขแค่ฝ่ายขายแต่ฝ่ายการเงินไม่ได้ทำตามข้อมูลที่อยู่ลูกค้าจึงขัดแย้งกัน
- การใช้ฐานข้อมูลนั้น เมื่อมีการแก้ไขในที่หนึ่งข้อมูลอีกที่หนึ่งจะถูกเปลี่ยนไปด้วย
🔼 การรักษาความคงสภาพของข้อมูล
(Improved data integrity)
- ความคงสภาพของข้อมูล (data integrity) คือ ความถูกต้องความสอดคล้อง ความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูล
- เราสามารถกำหนดชนิดหรือความยาวของข้อมูลในฐานข้อมูลได้ถ้าผิดแปลกออกไปจะไม่สามารถป้อนเข้ามาได้ข้อมูลจึงมีความถูกต้องตามโครงสร้างอยู่เสมอ
🔼 ใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (Shared data)
- แต่ละฝ่ายในองค์กรสามารถที่จะเรียกใช้ข้อมูลระหว่างกันได้
- เช่น ฝ่ายการเงินต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลลูกค้าสามารถดึงมาจากระบบฐานข้อมูลที่เดียวกันได้
- ฝ่ายบริหารต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลพนักงานเพื่อดูประวัติการทำงานก็สามารถเรียกใช้ร่วมกันได้ เป็นต้น
- ฝ่ายบริหารต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลพนักงานเพื่อดูประวัติการทำงานก็สามารถเรียกใช้ร่วมกันได้ เป็นต้น
🔼 ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูล (Easier access)
- ฐานข้อมูลช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลง่ายขึ้น เพราะมีกลไกในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นแบบเดียวกัน
- เช่น คำสั่งเรียกค้นข้อมูลภาษา SQL (Structure Query
Language) ในระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์หรือ
RDBMS
RDBMS =Relational Database Manament System
🔼 ลดระยะเวลาการพัฒนาระบบงาน
(Reduced development time)
- นักพัฒนาระบบทำงานได้เร็วขึ้นเพราะฐานข้อมูลช่วยลดปัญหาด้านความซ้ำซ้อน ความขัดแย้งและความคงสภาพของข้อมูลได้
- ช่วงเวลาการบำรุงรักษาโปรแกรม (program maintenance) ลดลง
- ช่วงเวลาการบำรุงรักษาโปรแกรม (program maintenance) ลดลง
เครื่องมือสำหรับจัดการฐานข้อมูล (DBMS)
🔜 ลักษณะของ DBMS
- ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ลึกมาก
- สามารถกำหนดโครงสร้างและดูแลรักษาฐานข้อมูลได้
- ควบคุมการเข้าถึงของข้อมูลตามระดับการใช้งานที่ต้องการ
- อาศัยส่วนของภาษาที่จัดการกับข้อมูลโดยเฉพาะเรียกว่า
ภาษาคิวรี่ (query language)
ตัวอย่างโปรแกรม Microsoft Access

ภาษาคิวรี่ (Query Language)
⭃ ภาษาที่ใช้สำหรับสอบถามหรือจัดการกับข้อมูลโดยเฉพาะ
⭃ ภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ภาษา SQL(Structure Query
Language)
⭃ องค์กร ANSI ได้ประกาศให้ SQL เป็นภาษามาตรฐานสำหรับระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS)
ตัวอย่างคำสั่ง
- DELETE ใช้สำหรับลบข้อมูลหรือลบเรคอร์ดใดๆในฐานข้อมูล
- INSERT ใช้สำหรับเพิ่มข้อมูลหรือเพิ่มเรคอร์ดใดๆเข้าไปในฐานข้อมูล
- SELECT ใช้สำหรับเลือกข้อมูลหรือเลือกเรคอร์ดใดๆที่ต้องการจากฐานข้อมูล
- UPDATE ใช้สำหรับแก้ไขข้อมูลหรือแก้ไขเรคอร์ดใดๆในฐานข้อมูล
ความสามารถโดยทั่วไปของระบบการจัดการฐานข้อมูล

⏩ สร้างฐานข้อมูล (create database)
- วิเคราะห์และออกแบบข้อมูลก่อนสร้างฐานข้อมูลจริง
- ระบบ DBMS ทั่วไป มีเครื่องมือช่วยสร้างอยู่ในโปรแกรม
- อาศัยภาษา SQL ในการสั่งงาน เช่น สร้างฟีลด์หรือตาราง เป็นต้น
⏩ เพิ่ม เปลี่ยนแปลงและลบข้อมูล (add, change, and delete data)
- สามารถเพิ่มค่ารายการในฐานข้อมูลได้ทุกเมื่อ เช่น เพิ่มค่าเรคอร์ด
บางเรคอร์ดที่ตกหล่นในการบันทึกข้อมูล
- ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ที่อยู่ลูกค้าเปลี่ยนหรือเบอร์โทรศัพท์ถูก
ยกเลิก ก็สามารถแก้ไขได้
- ข้อมูลที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เช่น เรคอร์ดของนักศึกษาบางคนที่
ลาออกไป อาจลบออกไปได้เช่นกัน
⏩ จัดเรียงและค้นหาข้อมูล (sort and retrieve data)
- DBMS มีคุณสมบัติที่ช่วยให้การเรียกค้นดูข้อมูลง่ายและสะดวก
- สามารถจัดเรียงข้อมูลและเลือกได้ว่าจะให้ DBMS จัดเรียงแบบใดมาก
ไปน้อย หรือ เรียงตามลำดับเวลา
- การค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มากสามารถระบุค่าเพียงบางส่วนให้ค้นหาได้
⏩ สร้างรูปแบบและรายงาน (creat form and report)
- สามารถสร้างรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอ (form)
- พิมพ์ผลลัพธ์รายการออกมาเป็นรายงาน (report)
- ช่วยในเรื่องของการตัดสินใจและการวิเคราะห์ข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น