วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บทที่6 เรื่องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

บทที่6
การสื่อสารข้อมูลระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

วัตถุประสงค์
1. บอกความหมายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้
2. อธิบายความแตกต่างของสายสัญญาณแต่ละชนิดได้
3. บอกประโยชน์และโครงสร้างของระบบเครือข่ายได้
4. อธิบายประเภทและรูปแบบของระบบเครือข่ายได้
5. อธิบายลักษณะการทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้
การสื่อสารข้อมูล

เริ่มต้นของยุคสื่อสารเมื่อประมาณพ.ศ.2513-2515 การติดต่อสื่อสารข้อมูลสมัยใหม่นี้ ใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ และความต้องการในการติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องใน
เวลาเดียวกันก็มีมากขึ้น หรือที่เรียกว่าระบบเครือข่าย(networksystem)
ระบบเครือข่าย (network system) หมายถึง ระบบที่เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่มีความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูลตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน
วัตถุประสงค์ของการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์
⏩ ใช้ทรัพยากรร่วมกัน
⏩ ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน
⏩ ความง่ายในการดูแลระบบ
องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น5องค์ประกอบ

➤ ผู้ส่ง (Sender)
➤ ผู้รับ (Deceiver)
➤ ข่าวสารหรือข้อมูล (Message)
➤ สื่อกลาง (Media)
➤ โปรโตคอล (Protocol)
การสื่อสารข้อมูล
    การเชื่อมต่อการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงร่วมกันใช้ทรัพยากรอื่นๆ เช่น เครื่องพริ้นเตอร์ เครื่องสแกนเนอร์ เป็นต้น
    การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ โดยผ่านสื่อกลางไร้สาย ด้วยอุปกรณ์ส่ง-รับข้อมูล เช่น จานไมโครเวฟ เครื่องรับ-ส่งคลื่นวิทยุ จานดาวเทียม เป็นต้น

ชนิดของสัญญาณและทิศทาง
วิธีการถ่ายโอนข้อมูล
1. ถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน
ข้อดี : สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็ว เนื่องจากทำการส่งข้อมูลพร้อมกันได้ครั้งละหลายๆบิต
ข้อเสีย : จำนวนสายส่งข้อมูลที่ใช้ต้องมีเท่ากับจำนวนบิตที่ส่ง ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย นิยมใช้กับการส่งข้อมูลระยะใกล้ๆ








2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม
สามารถส่งข้อมูลได้ครั้งละบิตโดยจะส่งผ่านไปตามสายส่งเรียงลำดับตามกันไปและจะใช้สายส่งเพียงเส้นเดียวจึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในกาส่งและนิยมส่งในระยะทางไกลๆแต่ความเร็วในการส่งจะน้อยกว่าแบบขนาน


การติดต่อแบบอนุกรมอาจแบ่งตามรูปแบบการรับ-ส่งได้3แบบ
การสื่อการแบบทางเดียว (Simplex) 










- ข้อมูลจะถูกส่งไปในทิศทางเดียวเท่านั้น
-โดยผู้ส่งจะสามารถส่งข้อมูลไปให้ผู้รับได้อย่างเดียว
- ส่วนผู้รับจะไม่โต้ตอบกลับมาได้
- เช่น วิทยุ, โทรทัศน์ เป็นต้น
การสื่อสารแบบสองทางครึ่งอัตรา (Half-Duplex)

     ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองทิศทาง แต่จะต้องผลัดกันส่งครั้งละทิศทางเดียวเท่านั้น นั่นคือผู้ส่งและผู้รับสามารถทำหน้าที่ได้ทั้งส่งและรับข้อมูล แต่ไม่สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ, กระดานสนทนา (Webboard) เป็นต้น

การสื่อสารแบบสองทางเต็มอัตรา (Full-Duplex)

    ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองทิศทางพร้อมกัน โดยผู้ส่งและผู้รับสามารถทำหน้าที่ทั้งส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน เช่น โทรศัพท์, การUpload ข้อมูลพร้อมๆกันในอินเตอร์เน็ต, การสนทนาแบบ Chat Roomเป็นต้น
ชนิดของสัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล
การส่งสัญญาณแบบอะนาล็อค (Analog Signal)

Image result for สัญญาณแบบอนาล็อก  เป็นสัญญาณที่มีค่าต่อเนื่องอยู่ในรูปแบบของคลื่น ซึ่งจะถูกส่งไปในรูปของสัญญาณไฟฟ้ามีการแปลงระดับสัญญาณขึ้น-ลงตามขนาของสัญญาณ (Amplitude) และมีความถี่ (Frequency)
➨ โมเด็ม (MODEM หรือ MOdulator-DEModulator)เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอะนาล็อคและในทางกลับกันก็แปลงสัญญาณอะนาล็อคให้เป็นสัญญาณดิจิตอลโดยโมเด็มจะเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับช่องทางการสื่อสาร

ประเภทของโมเด็ม แบ่งออกได้เป็น2ประเภท คือ
     1. โมเด็มชนิดภายนอก (External Modem)
     2. โมเด็มชนิดภายใน  (Internal Modem)




➨ การส่งสัญญาณแบบดิจิตอล (Digital Signal)
Image result for (Digital Signal)

เป็นสัญญาณที่มีค่าเปลี่ยนแปลซึ่งจะถูกกำหนดค่าเป็น''0''''1''เท่านั้นการเปลี่ยนแปลงของระดับสัญญาณไม่มีความต่อเนื่อง(สูง=1และต่ำ=0)

การประมวลผลกับการสื่อสารข้อมูล
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์
➽ เน็ตเวิร์กการ์ด  (Network Interface Card)
➽ สื่อกลางหรือช่องทางในการสื่อสารข้อมูล (Medium)
➽ โปรโตคอล (Protocol)
ลักษณะการประมวลผลข้อมูล
ระบบการประมวลผลข้อมูลแบบมีศูนย์กลาง
     ⧭ การประมวลผลข้อมูลทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่เครื่องหลักเพียงเครื่องเดียว
     ⧭ การประมวลผลทางไกล (Teleprocessing)
ระบบการประมวลผลข้อมูลแบบไคลเอนต์-เซิร์ฟเวอร์
     ⧭ แบ่งการประมวลผลมาทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)
     ⧭ PC ติดต่อและรับ้อมูลจาก Server มาแสดงผล
     ⧭ รับทำหน้าในส่วนของการโต้ตอบและรับข้อมูลจากผู้ใช้ช่วย
ระบบการประมวลผลข้อมูลแบบกระจาย
   ⧭ มีกระจายภาระการประมวลผลไปยังเครื่องต่าง ที่เชื่อมต่อกันอยู่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และนำผลลัพธ์ที่ได้มารวมกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
     ⧭ ลดจำนวนข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย
ระบบประมวลผลแบบมีศูนย์กลาง



Related image

ระบบการประมวลผลแบบ Client - server


Related image


ระบบการประมวลผลแบบกระจาย

Image result for ระบบการประมวลผลแบบกระจาย


เน็ตเวิร์กการ์ดหรือNIC(Network Interface Card)
     เป็นอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งในคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมกับเคเบิ้ลในระบบเน็ตเวิร์ก ทำหน้าที่ รับและส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์กับเน็ตเวิร์กโดยผ่านสายเคเบิ้ลจะแปลงสัญญาณที่ได้รับจากเคเบิ้ลให้เป็นข้อมูลที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้และแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถเดินทางไปในสายเคเบิ้ลได้
เน็ตเวิร์กการ์ด PCI 

Image result for เน็ตเวิร์กการ์ด PCI
สื่อกลางหรือช่องทางในการสื่อสารข้อมูล
สื่อกลางประเภทมีสาย
   ⧬ สายคู่บิดเกลียว (twisted pair)
   ⧬ สายโคแอกเชียล (coaxial)
   ⧬ เส้นใยนำแสง (fiber optic)
สื่อกลางประเภทไร้สาย
   ⧬ ไมโครเวฟ (micro wave)
   ⧬ ดาวเทียม  (satellite)
สื่อกลางประเภทมีสาย
   สายคู่บิดเกลียว (twisted pair)
      แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 
1. สาย UTP : (Unshielded Twisted-Pair) 
     ⧪มีราคาถูกที่สุด ประกอบด้วยลวดทองแดงที่มีฉนวนพลาสติกหุ้มสองเส้นนำมาพันกันเป็นเกลียวทำให้สามารถลดเสียงรบกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ และส่งสัญญาณได้ไม่เกิน100เมตร เช่นสายโทรศัพท์, สายLAN
2. สาย STP : (shielded Twisted-Pair) 
⧪ เป็นสายคู่ตีเกลียวที่มีฉนวนโลหะลักษณะเป็นโลหะบางๆ ซึ่งช่วยป้องกันการรบกวนสัญญาณจากภายนอกได้ดีกว่าสายUTP ในระยะทางประมาณ100เมตรเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยยืดหยุ่นในการใช้สายเนื่องจากมีขนาดใหญ่ ติดตั้งยากพอสมควร และราคารแพงกว่าแบบUTPจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม
สายโคแอกเชียล(Coaxial)
- เป็นสายเส้นกลม มีไส้กลางเป็นทองแดงหุ้มด้วยพลาสติก ชั้นถัด
มาประกอบด้วยโลหะฟอยด์ที่ทอมาหุ้มเพื่อป้องกันสัญญาณรบกววชั้นนอกหุ้มพลาสติกอีกชั้น
- สามารถทนต่อสัญญาณการรบกวนของสัญญาณภายนอกได้ดี
กว่าแบบสายคู่บิดเกลียว ( Twisted Pair ) แต่มีความนิยมใช้งานน้อย
กว่าแบบ Twisted Pair และราคาแพงกว่า เช่น สายเคเบิลทีวี

เส้นใยนำแสง (fiber optic)

Image result for เส้นใยนำแสง⧪ ประกอบด้วยส่วนกลางที่ทำด้วยแก้ว แท่งแก้วหรือพลาสติก ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเส้นใย แล้วมีพลาสติกหุ้มชั้นนอกสุดเพื่อป้องกันการสูญหายของสัญญาณ
⧪ จะนำส่งสัญญาณโดยใช้แสง โดยจะเปลี่ยนจากสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นแสง
⧪ สัญญาณต่างๆภายนอกไม่สามารถรบกวนได้เลย ในขณะที่สายอื่นๆสัญญาณจะอ่อนลงเรื่อยๆ เมื่อมีระยะทางไกลขึ้น ราคาจะสูงมาก
⧪ ยากต่อการติดตั้งและดูแลรักษา ถ้าเกิดเสียหายหรือหัก การซ่อมแซมทำได้ลำบาก
⧪ สามารถส่งสัญญาณได้ทิศทางเดียว ดังนั้นในการติดตั้งจึงมี2เส้นคู่กัน รับ1เส้นส่ง1เส้น สามารถส่งข้อมูลได้100Mbps จึงกระทั่งถึง2Gbps ขึ้นอยู่กับชนิดของใยแก้วนำแสง
⧪ ดังนั้นจึงเหมาะกับเน็ตเวิร์กที่ต้องการความปลอดภัยสูง และมีการส่งข้อมูลเป็นจำนวนมากและเป็นระยะทางไกล
สื่อกลางประเภทไร้สาย
ไมโครเวฟ (Micro Wave)

Image result for ไมโครเวฟ (Micro Wave)
⧪ ส่งสัญญาณเป็นทอดๆ จากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่ง
⧪ สถานีต้องตั้งอยู่ในที่สูง เช่น บนตึกสูง, บนภูเขาสูง เป็นต้น เพื่อช่วยให้ส่งสัญญาณไปได้ไกลและลดจำนวนของสถานีส่ง
⧪ ครอบคลุมพื้นที่รับสัญญาณได้ประมาณ25-30ไมล์
ข้อดี  
⧪ ประหยัดค่าใช้จ่าย
⧪ สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง
ข้อเสีย
⧪ มีไม่มีสิ่งใดมาขีดขวางทางสัญญาณ
⧪ สัญญาณถูกรบกวนหรือแทรกแซงได้ง่าย
⧪ ถูกดักจับสัญญาณได้ง่าย
ดาวเทียม (Satellite)
ข้อดี
⧪ ส่งข้อมูลได้ปริมาณมากและมีความเร็วสู
ข้อเสีย
⧪ ค่าใช้จ่ายสูงมาก
⧪ ถูกดักจับสัญญาณได้ง่ายเช่นกัน

Image result for ดาวเทียม (Satellite)
โปรโตคอล
มาตรฐานของโปรโตคอล
- TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
🔺 เป็นโปโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
🔺 เพื่อให้สามารถสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทางได้
🔺 สามารถค้นหาเส้นทางสื่อสารได้เองโดยอัตโนมัติ
IP Addressing
IP Address (หมายเลขไอพี) คือเลขที่บอกที่อยู่เฉพาะของโหนดหรือโฮสต์ที่อยู่ในเครือข่าย รวมถึงคอมพิวเตอร์และเราท์เตอร์ด้วย หมายเลขนี้จะเป็นที่อยู่ในLayer 3 ซึ่งหมายเลขในเครือข่ายเดียวกันต้องไม่ซ้ำกัน อย่างไรก็ตามโฮสต์หนึ่งอาจจะมีหมายเลขไอพีได้มากกว่าหนึ่งเลขก็ได้
IP Address แบ่งออกเป็น2ส่วน คือ 
Netid = หมายเลขเครือข่าย
Hostid = หมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์
IP address/In Decimal Notation

Related image   ปัจจุบันโปรโตคอล IP ที่ใช้งานอยู่ในเครือข่ายจะเป็นVersion 4 หรือเรียกสั้นๆว่า“IPV4” ซึ่งจะมีขนาด32บิต







Internet Class แบ่งออกเป็ น 5 ระดับชั้น (Class)

Image result for Internet Class แบ่งออกเป็ น 5 ระดับชั้น (Class)
การทำงานภายใน IP Address ยังมีการแบ่งออกเป็นระดับชั้น (Class) ต่างๆ5 Class คือ Class A, B, C, D และ E 
⧭ Class A : หมายเลขของ IP Address เริ่มตั้งแต่0.0.0.0-127.255.255.255 ซึ่งเหมาะสมสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่เนื่องจากสามารถรองรับจะมีเครือข่ายได้126เน็ตเวิร์คและในแต่ละเครือข่ายสามารถมีเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ประมาณ 16 ล้านเครื่อง ตัวอย่างเช่น ค่า IP Address ของ Class A เป็น 120.25.2.3หมายถึงเครือข่าย120หมายเลขเครื่อง 25.2.3
⧭ Class B : หมายเลขของ IP Address เริ่มตั้งแต่128.0.0.0-191.255.255.255 จะมีเครือข่ายขนาด 16384
เน็ตเวิร์คและจำนวนเครื่องลูกข่ายในเครือข่ายได ้64,516 เครื่อง ตัวอย่าง เช่น ค่า IP Address ของ Class
B เป็น 145.147.45.2 หมายถึงเครือข่าย145.147 หมายเลขเครื่อง 45.2
⧭ Class C : หมายเลขของ IP Address เริ่มตั้งแต่192.0.0.0-223.255.255.255 จะมีจำนวนเครือข่ายขนาด2M+ เน็ตเวิร์คและเครื่องลูกข่ายในแต่ละเครือข่ายได้ประมาณ 254 เครื่อง ตัวอย่าง เช่น ค่า IPAddress ของ Class C เป็น 202.28.10.5 หมายถีง หมายเลขเครือข่าย 202.28.10 หมายเลขเครื่อง 5
⧭ Class D : เป็นการสำรองหมายเลข IP Address ช่วง224.0.0.0-239.255.255.255 สำหรับการส่งข้อมูลแบบ Multicast ซ่ึ่งจะไม่มีการแจกจ่ายใช้งานทั่วไปสำหรับบุคคลทั่วไป
⧭ Class E : เป็นการสำรองหมายเลข IP Address หรือสงวนไว้ใช้ในอนาคตช่วง 240.0.0.0-255.255.255.255 สำหรับการทดสอบและพัฒนา
Class Range

Image result for Class Range
ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
บริการหลักของ  (NOS: Network Operating System)
🔼 บริการจัดเก็บไฟล์และการพิมพ์ (File and Print Services)
🔼 บริการดูแลและจัดการระบบ (Management Services)
🔼 บริการรักษาความปลอดภัย (Security Services)
🔼 บริการอินเตอร์เน็ตและอินทราเน็ต (Internet/Intranet Services)
🔼 บริการมัลติโพรเซสซิ่งและคลัสเตอริ่ง (Multiprocessing & Clustering Services)  (รองรับ CPU ได้มากกว่า1ตัวและทำให้ server หลายๆเครื่องทำงานพร้อมกัน )
รูปแบบของระบบเครือข่าย (Network Topologies) 
การเชื่อมโยงเครือข่ายระบบ LAN สามารถแบ่งออกเป็น3แบบ คือ 
1. โทโปโลยีแบบรูปดาว(The Star Topology)
2. โทโปโลยีแบบบัส (The Bus Topology)
3. โทโปโลยีแบบรูปวงแหวน (The Ring Topology)
โทโปโลยีแบบรูปดาว(The Star Topology) 

Image result for โทโปโลยี ี บบ รูปดาว(The Star Topology)⥁ เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์แต่ละตัวเข้ากับ Hubซึ่งคอยเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการติดต่อและกระจายสัญญาณข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายทั้งหมด





โทโปโลยีแบบบัส (The Bus Topology) 

Image result for โทโปโลยีแบบบัส (The Bus Topology)⥁ โครงสร้างมีการเชื่อมต่อแบบ Multipoint นั่นคือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ทั้งหมดจะเชื่อมต่อเข้ากับสายสื่อสารหลักเพียงสายเดียวและจะใช้งานสายหลักนี้ร่วมกันในการส่งสัญญาณต่างๆ ซึ่งสายสื่อสาหลักนี้ เรียกว่า backbone
⥁ การเพิ่มหรือลดอุปกรณ์เครือข่ายนั้นจะมีผลกับ backbone





โทโปโลยีแบบรูปวงแหวน (The Ring Topology) 

Image result for โทโปโลยีแบบรูปวงแหวน (The Ring Topology)โครงสร้างแบบนี้ค่อนข้างจะติดตั้งและแก้ไขดัดแปลงง่ายเพราะอุปกรณ์แต่ละตัวจะเชื่อมต่อเฉพาะกับอุปกรณ์ที่อยู่ติดกันเท่านั้นดังนั้นการเพิ่มหรือลดอุปกรณ์ก็ไม่กระทบกับทั้งเครือข่าย








อุปกรณ์เครือข่าย
1. เกตเวย์(Gateway)

Image result for เกตเวย์(Gateway)⤞ ทำหน้าที่เชื่อมต่อและแปลงข้อมูลระหว่างเครือข่ายที่ต่างกันทั้งในส่วนของโปรโตคอลและสถาปัตยกรรม
⤞ เช่น เครือข่ายที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(Personal Computer)อาจเชื่อมต่อกับระบบเมนเฟรม (Mainrrame)
⤞ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขยายเครือข่ายให้มีขนาดใหญ่




2. รีพีตเตอร์(Repeater)

Image result for รีพีตเตอร์(Repeater)⤞ มีหน้าที่เป็นอุปกรณ์เชือมต่อสำหรับขยายสัญญาณให้กับเครือข่าย
⤞ ปกติเมื่อสัญญาณถูกส่งออกไปตามสายสื่อสารแรงดันของสัญญาณจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เนื่องจากสายมีความต้านทานทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณไปได้ในระยะทางที่ไกล
⤞ ดังนั้น Repeater จะทำหน้าที่ขยายแรงดันของสัญญาณทำให้สัญญาณสามารถถูกส่งผ่านสายสื่อสารไปได้ในระยะทางที่ไกลขึ้นแต่เป็นการส่งข้อมูลออกไปโดยไม่สนใจข้อมูลว่าเป็นของเครือข่ายไหน




3.บริดจ์(Bridge) 

Image result for บริดจ์(Bridge)⤞ ทำหน้าที่คล้ายกับ repeater แต่จะมีความฉลาดมากกว่า เพราะ Bridge จะเลือกสรรข้อมูลและส่งต่อเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นของอุปกรณ์เครือข่ายเท่านั้น 
⤞ ทำให้สามารถลดปริมาณการจราจรที่คับคั่งบนเครือข่ายได้ทำให้เครือข่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
⤞ ใช้เชื่อมเครือข่ายย่อย 2 เครือข่ายเข้าด้วยกัน (อาจเป็ นเครือข่ายประเภทเดียวกันหรือต่างประเภทกันก็ได้


4. ฮับ (Hub)


Image result for ฮับ (Hub)⤞ เป็นอุปกรณ์หลกัของเครือข่ายที่มีโครงสร้างแบบดาว (Star Topology) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย
⤞ ทำหน้าที่กระจายสัญญาณส่งต่อไปให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ Hubอยู่
⤞ การนำHubมาเพิ่มในระบบเครือข่ายทำให้สามารถเพิ่มจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ซึ่งเป็นวิธีขยายเครือข่ายที่นิยมมากที่สุดวิธีหนึ่ง

5. สวิตซ์(Switch) 

Image result for สวิตซ์(Switch)⤞ นิยมเรียกว่าอีเธอร์เนตสวิตซ์ (Ethernet Switch) จะเป็นบริดจ์แบบหลายช่องทาง (Multiport Bridge) ที่นิยมใช้ในระบบเครือข่าย LAN แบบ Ethernet เพื่อใช้เชื่อมต่อเครือข่ายหลายๆเครือข่าย (Segment) เข้าด้วยกัน
⤞ สวิตซ์จะช่วยลดการจราจรระหว่างเครือข่ายที่ไม่จำเป็น (เลือกส่งข้อมูลถึงผู้รับเท่าที่จำเป็นเท่านั้น)และเนื่องจากการเชื่อมต่อแต่ละช่องทางกระทำอยู่ภายในตัวสวิตซ์เองทำให้สามารถทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลในแต่ละเครือข่าย (Switching) ได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้บริดจ์จำนวนหลายๆตัวเชื่อมต่อกัน
⤞ นอกจากนี้สวิตซ์ยังสามารถใช้เชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเข้ากับตัวสวิตซ์ซึ่งจะทำให้เครื่องๆนั้นสามารถติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ด้วยความเร็วเต็มความสามารถของช่องทางการสื่อสารข้อมูลกับ
เครื่องอื่นๆเลย

6. เราเตอร์(Router)

Image result for เราเตอร์(Router)⤞ เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆเครือข่ายซึ่งมีความสามารถในการจัดการเครือข่ายที่ซับซ้อนได้
⤞ สามารถทำการกรองข้อมูลที่ระบุไว้ว่าให ้ผ่านไปได้เท่านั้นทำให้ลดปัญหาการจราจรที่บังคับบนเครือข่ายและเพิ่มระดับความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่าย (ป้องกันการ broadcast packet จากเครื่องหนึ่งไม่ให้ข้ามมายังอีกเครื่องหนึ่ง )
⤞ นอกจากนี้ Router ยังมีความฉลาดในการค้นหาและตัดสินใจเลือกเส้นทางในการส่งข้อมูลที่เหมาะสมและดีที่สุดได้โดยอัตโนมัติ
ประเภทของระบบเครือข่าย
สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. ระบบเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN) 
2. ระบบเครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)
3. ระบบเครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)
1. ระบบเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)  

Image result for ระบบเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)⤔ เป็นเครือข่ายสื่อสารในระยะใกล้ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกันที่มีระยะทางไม่เกิน 1ไมล์
⤔ โดยอาจการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆภายในสำนักงานที่อยู่ในตึกเดียวกันหรือระหว่าตึกที่ใกล้เคียงกันเข้าเป็นเครือข่าย
⤔ เช่น การแชร์ไฟล์ข้อมูลการแชร์ฐานข้อมูลการแชร์เครื่อง Printร่วมกัน เป็นต้น

2. ระบบเครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)

Image result for ระบบเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)⤔ เป็นเครือข่ายสื่อสารที่ครอบคลุมพื้นที่ในระยะทางที่ไกลกว่า LAN ซึ่งอาจจะเป็นการเชื่อมต่อกันระหว่างเมืองกับเมืองหรือระหว่างจังหวัดกับจังหวัด
⤔ มักเกิดจากการเชื่อมโยงเครือข่าย LAN ในบริเวณเดียวกันเข้าด้วยกัน
⤔ เช่น เครือข่ายของบริษัทที่ทีสาขาต่างๆอยู่ในแต่ละจังหวัดและการแพร่ภาพข้อมูลด้วยระบบ Cable TV เป็นต้น

3. ระบบเครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)

Image result for ระบบเครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)⤔ เป็นเครือข่ายสื่อสารที่ครอบคลุมพื้นที่ในระยะทางที่ไกลมากในระดับประเทศระดับทวีปหรือทั่วทั้งโลก โดยส่วนมากแล้ว WAN นั้นจะเป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย LAN หลายๆเครือข่ายเข้าด้วยกัน
เพื่อทำให้สามารถส่งข้อมูลและใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น

⤔ สำหรับการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย WAN นั้นอาจจะทำได้โดยผ่านระบบโทรศัพท์สายใยแล้วนำแสง (Fiber Optic) ไมโครเวฟหรือดาวเทียม เป็นต้น































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น